วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

คุณรู้หรือยัง??? ...ที่สุดของที่สุดในโลก



5 น้ำตกที่เป็นที่สุดของโลก

ในโลกนี้มีน้ำตกมากมายหลากหลายที่ แต่คุณรู้ไหมน้ำตกที่ใหญ่ที่สุด  น้ำตกที่สูงที่สุด   ของโลกคือน้ำตก อะไร  ลองมาดู 5 น้ำตก อันเป้นที่สุดของโลก ดังต่อไปนี้

1.น้ำตกที่สูงที่สุดในโลกคือ  Angel Falls  อยู่ในประเทศเวเนซุเอรา มีความสูงถึง  3212 ฟุต



2. น้ำตกที่มีความกว้างมากที่สุดในโลกคือ Iguazu Falls อยู่ในประเทศอาเจนตินา มีความกว้างถึง 1.67 ไมล์


3.น้ำตกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในดลกคือ Victoria Falls  ในประเทศซิมบับเว่


4.จุดชมน้ำตกที่สวยที่สุดในโลก อยู่ที่ GullFoss ประเทศ ไอซ์เเลนด์


5.น้ำตกที่อยู่ลึกที่สุดในโลกคือ  Tugela Falls อยู่ในประเทศเ เอฟริกาใต้



5 สุดยอดอันดับเกาะดีที่สุดในโลก


อันดับที่ 1 เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย (เอเซียในบ้านเรามีสถานที่สวยงามและน่าสนใจเหมือนกัน และก็ติดอันดับโลกมาตลอดเช่นกัน ปีนี้ไต่ขึ้นเป็นแชมป์ หลังเมือปีก่อนอยู่อันดับ 2)


อันดับที่ 2 หมู่เกาะกาลาปาโกส ประเทศเอกวาดอร์ (เป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับโลกมาตลอดแต่ปีนี้ไม่ได้แชมป์แต่กลับเป็นรองแชมป์แทนเพราะปีที่แล้วอยู่อันดับ 1)


อันดับที่ 3 เกาะเคป เบรตัน ในรัฐโนวา สโกเชีย ประเทศแคนาดา (ปีนี้ผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก กระโดดจากปีที่แล้วอยู่อันดับ 10)



อันดับที่ 4 เกาะคาอูอิ ฮาวาย สหรัฐอเมริกา (คงเส้นคงวาเพราะปีที่แล้วอยู่อันดับ 4)

อันดับที่ 5 เกาะ Mount Desert ในรัฐเมน สหรัฐอเมริกา


The Most Beautiful Mountains in The World

1.Matterhorn ซึ่งมีความสูง 4478 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง คือจุดหมายปลายทางอันดับหนึ่งของนักท่องเที่ยวในเทือเขาแอลป์ ... ซึ่งสัญลักษณ์ของเขาลูกนี้ได้ถูกนำไปพิมพ์ใส่เสื้อเชิ้ต เสื้อแจ๊คเก็ต ตลอดจนของที่ระลึก มากมาย ครั้งแรกที่ยอดเขานี้ถูกพิชิต คือ 14 กรกฎาคม 1865 และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีผู้คนมากมายมาเยือนที่นี่อย่างไม่ขาดสาย ทุกๆปีจะมีกลุ่มนักท่องเที่ยวมาแค้มปิ้ง เล่นสกี หลายล้านคน เพราะนี่คือลานสกีที่กว้างใหญ่และสูงที่สุดในยุโรป.


 Mount Matterhorn, Alpine Mountains 


2.ด้วยความสูง 5947 เมตร เขา Alpamayo ในประเทศเปรู แม้ไม่ใช่ยอดเขาที่สูงที่สุดในอเมริกาใต้ แต่รูปทรงสีเหลี่ยมคางหมูของมันช่างน่าสนใจยิ่ง โดยเฉพาะวิวทิวทัศน์ ทางด้านเหนือ อัลปามาโย เป็นเขาที่ปลอดภัยที่สุดในการปีนจากเขาทั้งหมดที่เอ่ยมา โดยที่นักปีนเขาแค่เพียงปีนผ่านน้ำแข็งให้ปลอดภัยเท่านั้น ใครก็ตามที่เคยเห็นและได้ปีนเขาลูกนี้แล้ว เขาจะมีแต่ความทรงจำดีๆกับเขาลูกนี้.


Mount Alpamayo, Peru


3. K2 เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก โดยมีความสูง 8611 เมตร จากระดับน้ำทะเลปานกลาง มีทางขึ้นที่อันตรายมากสำหรับการปีนเขา และมีผู้เคราะห์ร้ายจากการปีนมาแล้วมากมาย และยอดเขานี้ก็ได้รับการขนานนามว่าเป็นสุดยอดของความยากในการปีนในโลก มีคณะนักสำรวจมากมายที่หาทางพิชิตยอดเขานี้


 K2, Himalaya Mountains


4. Drei Zinnen ตั้งอยู่บนเทือกเขาแอลป์ แม้ว่ามันจะเล็กเกินกว่าที่จะเรียกว่าภูเขาก็ตาม ยอดเขานี้สูงเกือบ 3000 เมตรซึ่งอยู่ใกล้ๆ Paterno. ถ้ามองจากทางเหนือจะเป็นมุมพาโนรามาที่นิยมชมชอบมากที่สุด ครั้งสุดท้ายที่มีผู้มาพิชิต 3 ยอดเขานี้คือ Thomas Huber จาก Huberbuam


Drei Zinnen Mountain, Alpine Mountains 


5.ด้วยความสูง 3798 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศ ออสเตรีย ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักปีนเขาเป็นอย่างมาก นักปีนเขาสามารถพิชิตยอดเขานี้ได้ครั้งแรกในปี 1800.

Großglockner, Austria 









แล้วคุณหละ...ชอบภูเขาหรือทะเล????











วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ตามรอยพ่อ...



.......ความพอเพียงนี้ไม่ได้หมายความว่า ทุกครอบครัวจะต้องผลิตอาหารของตัวเอง
จะต้องทอผ้าใส่เอง อย่างนั้นมันก็เกินไป แต่ว่าในหมู่บ้านหรือในอำเภอ จะต้องมีความพอเพียงพอสมควร
บางสิ่งบางอย่างที่ผลิตได้มากกว่าความต้องการก็ขายได้ แต่ขายในที่ไม่ห่างไกลเท่าไหร่
ไม่ต้องเสียค่าขนส่งมากนัก การจะเป็นเสือนั้นไม่สำคัญ สำคัญที่เรามีเศรษฐกิจแบบพอมีพอกิน
แบบพอมีพอกินนั้นหมายความว่าอุ้มชูตัวเองได้ ให้มีพอเพียงกับตัวเอง..................
    พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทาน ณ ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต
เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2540
ประมวลและกลั่นกรองจากพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง
ซึ่งพระราชทานในวโรกาสต่าง ๆ รวมทั้งพระราชดำรัสอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยไดรับพระราชทานพระบรมราชานุญาต
ให้นำไปเผยแพร่เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2542   เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติของทุกฝ่ายและประชาชนโดยทั่วไป

                  
ความพอเพียง

      หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการมีผลกระทบใดใด อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายนอกและภายใน ทั้งนี้จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆมาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุล และพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี
เศรษฐกิจพอเพียง       การพัฒนาตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง คือการพัฒนาที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานทางสายกลาง และความไม่ประมาท โดยคำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว ตลอดจนใช้ความรู้ความรอบคอบ และคุณธรรม ประกอบการวางแผน การตัดสินใจ และการกระทำ     
ประหยัดอดออม         ในการเลือกซื้อข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ เราจะต้องคำนึงถึงความจำเป็น ความเหมาะสม คุณภาพของสินค้า รวมทั้งประโยชน์การใช้สอยเป็นเบื้องต้น ในการพิจารณาไม่ควรยึดติดกับยี่ห้อ ความทันสมัยของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตลอดจนสินค้าที่ฟุ่มเฟือยไม่จำเป็นก็ไม่ควรซื้อหา          
ภูมิใจในอาชีพตนเอง                   การประกอบอาชีพที่ซื่อสัตย์สุจริต เป็นหนทางนำมาซึ่งความสุข ความสำเร็จในชีวิต และครอบครัว ดังนั้นแม้ว่าจะปรอบอาชีพอะไรก็ตาม ขอให้ทุกคนจงภูมิใจในอาชีพที่ทำอยู่ ไม่ว่าจะเป็นชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ เมื่อสำนึกในหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุดแล้ว ชุมชนและสังคมของเราก็จะมีความสุขติดตามมา  
สร้างชุมชนให้เข้มแข็ง                   ทุกคนที่อาศัยในชุมชนแต่ละท้องถิ่นสามารถช่วยเหลือชุมชนของตนเองให้เข้มแข็งในรูปแบบต่าง ๆ ที่เหมาะสมได้ เช่าตลาดนัดชุมชน สหกรณ์ชุมชน หมู่บ้าน หรือตลาดน้ำ ซึ่งแต่ละคนจะนำผลผลิตของตนเองมาวางจำหน่ายซื้อขายแลกเปลี่ยนกัน โดยใช้พื้นฐานที่เป็นศูนย์กลางของชุมชน ทำให้มีเงินหมุนเวียนในชุมชน และไม่ต้องผ่านมือพ่อค้าคนกลาง        
จัดการผืนดินให้เกิดประโยชน์                    ไม่ควรปล่อยให้ผืนแผ่นดินว่างเปล่า ควรศึกษาวิธีการปรับปรุงผืนดินให้อุดมสมบูรณ์ด้วยพืชผลทางการเกษตร เช่น การปลูกพืชหมุนเวียน ให้เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ และสภาพภูมิอากาศ ซึ่งจะทำให้ได้ผลผลิตทางการเกษตรฐบริโภคตลอดทั้งปี ถ้าเหลือจากการบริโภคแล้ว สามารถนำไปจำหน่ายเพิ่มรายได้ให้ครอบครัว               
พออยู่พอกิน                ควรสร้างผลผลิตให้เพียงพอกับความต้องการในครอบครัวเท่านั้น หากมีเหลือจากการบริโภคแล้ว จึงค่อยนำไปจำหน่าย เป็นรายได้เสริมให้ครอบครัว ซึ่งไม่ถึงกับร่ำรวย แต่ก็ไม่จน ไม่เป็นหนี้สิน พออยู่พอกิน นับเป็นชีวิตที่มีความสุข      
รู้รักสามัคคี                   ชาวนาในชนบทห่างไกลหลายจังหวัด ยังใช้วิธีลงแขกเกี่ยวข้าว ซึ่งทำมาแต่ดั้งเดิม คือช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เกื้อกูลกัน มีความรักสมัครสมานสามัคคีต่อกัน ทำให้ไม่ต้องจ้างแรงงาน เสียทรัพย์สินเงินทอง พวกเขาเหล่านั้น จึงมีชีวิตที่มีความสุข  พออยู่พอกินด้วยกันทุกคน          
เทคโนโลยีท้องถิ่น       การที่เรารู้จักนำวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่นมาประยุกต์ โดยใช้ภูมิปัญญาและแนวคิดให้เหมาะสม ทำให้เกิดเทคโนโลยีท้องถิ่นช่วยให้เกิดประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมกับชีวิต และชุมชน ช่วยให้เกิดเครื่องมือในการทำงาน โดยไม่ต้องซื้อหาให้สิ้นเปลือง
                 





ผลผลิตชุมชน                การนำผลผลิตที่เหลือจากการบริโภคออกมาวางจำหน่าย นับเป็นการเสริมรายได้ให้กับครอบครัวทางหนึ่ง และยังเป็นการกระจายรายได้ หมุนเวียนในชนบทอีกด้วย นับเป็นวิธีการหนึ่งบนเส้นทางเศรษฐกิจแบบพอเพียง มีชีวิตแบบพอมีพอกินและยั่งยืน    
สร้างความสุขทางใจ                   ควรสร้างความสุขทางจิตใจให้เกิดขึ้นสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องอาศัยวัตถุ เทคโนโลยีต่าง ๆ ตามสมัยนิยม ควรมีความพอใจในสิ่งมี่ตนเองมีอยู่ ความสุขทางใจสร้างได้ด้วยการให้และการช่วยเหลือสังคม โดยที่ตนเองไม่เดือดร้อน
                 
ใช้เวลาให้เกิดประโยชน์              เมื่อมีเวลาว่างจาการทำงานแล้ว ควรใช้เวลานั้นให้เกิดประโยชน์ เช่น ผลิตเครื่องมือไว้ใช้เองในครัวเรือน โดยไม่ต้องซื้อหา ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในครอบครัว ถ้าทำได้จำนวนมาก ๆ แล้วสามารถนำไปจำหน่ายเป็นรายได้เสริมให้กับครอบครัวอีกทางหนึ่ง       
ครอบครัวอบอุ่น          ครอบครัวเป็นพื้นฐานสำคัญทางสังคม แนวคิดทฤษฎีใหม่ จึงมุ่งเน้นให้เกษตรกรดำนินชีวิตที่พอเพียง พออยู่ พอกิน ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน ช่วยเหลือเกื้อกูล แบ่งปันน้ำใจให้แก่กัน เพื่อชุมชนและสังคมที่ดี       

                 ตามรอยพ่อ


การทำดีนั้นยากและเห็นผลช้า

แต่ก็จำเป็นต้องทำ

เพราะหาไม่ความชั่วซึ่งทำได้ง่ายจะเข้ามาแทนที่

และจะพอกพูนขึ้นอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันรู้สึกตัว

แต่ละคนจึงต้องตั้งใจ

และเพียรพยายามให้สุดกำลัง

ในการสร้างเสริมและสะสมความดี 

(พระบรมราโชวาท)



                คำสอนของพ่อที่ทรงพระราชทานให้แก่พสกนิกรของพระองค์นั้น ทำให้เราได้ระลึกอยู่เสมอว่า  คนดีคือ คนที่คิดดี  พูดดี  และ โดยเฉพาะการทำดีเป็นการแสดงออกทางการประพฤติปฏิบัติอันเห็นได้อย่างชัดเจน ในภาวะปัจจุบัน  ที่มีแต่การแก่งแย่งกอบโกย  เห็นแก่ตัว  และละโมบหาความสุขเพียงลำพัง หากใครสักคนลุกขึ้นมาเป็นผู้ให้   ปลุกจิตสำนึกของการให้ซึ่งกันและกันแล้ว  ความสุขที่ขาดหายไปในแต่ละบุคคลก็จักได้ถูกเติมเต็มด้วยน้ำใจคนไทยด้วยกัน คณะนักศึกษาวิชาทหารและนักเรียนผู้ถือสัญชาติไทย  โรงเรียนนานาชาติเชียงใหม่ ภายใต้การบังคับบัญชาของ พ.อ. คชาชาต บุญดี  ผู้บังคับศูนย์การฝึก นศท. มทบ.33  จ.เชียงใหม่ ได้ร่วมกันทำความดีตามโครงการ ทำดีเพื่อพ่อ เพื่อสะท้อนถึงความจริงที่พ่อได้เพียรสอนให้มองเห็นคุณค่าของ การทำความดี ”  และ การให้ เมื่อสังคมมนุษย์มีการให้ซึ่งกันและกันแล้ว   ความสุขและสันติภาพก็จักบังเกิดขึ้นแก่สังคม


โครงการ ทำดีเพื่อพ่อ ”  เป็นเพียงแค่เม็ดดินเล็ก ๆ  ที่ปะปนเกลื่อนกล่นอยู่บนผืนดินนี้ หล่อเลี้ยงความยากแค้นขาดแคลนด้วยน้ำใจไม่กี่หยด แต่ก็สามารถช่วยบรรเทาความแห้งแล้งนั้นให้เบาบางลงได้   วันที่ 2 – 4 มกราคม 2550 คณะนักศึกษาวิชาทหารและนักเรียนผู้ถือสัญชาติไทย   โรงเรียนนานาชาติเชียงใหม่ ได้เดินทางไปมอบผ้าห่มและเครื่องกันหนาวให้แก่พี่น้องไทยและทหารที่ปฎิบัติหน้าที่ตามแนวชายแดนไทย พม่า ณ หน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 7 จ.แม่ฮ่องสอน   รวมจำนวนทั้งสิ้น 29 คน เดินทางไปและกลับจากเชียงใหม่สู่แม่ฮ่องสอน  โดยสายการบินนกแอร์ และ  ได้รับการต้อนรับ ดูแลอย่างอบอุ่นจากทหาร ฉก. ร 7  ตลอด 3 วันอย่างน่าประทับใจยิ่ง นอกจากการร่วมทำกิจกรรมมอบผ้าห่มและเครื่องกันหนาวแล้ว  ทางคณะฯได้ไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญ ๆ หลายแห่งของแม่ฮ่องสอน  สักการะพระธาตุดอยกองมู  ท่ามกลางความหนาวเหน็บของยามเช้า เยี่ยมหมู่บ้านกระเหรี่ยงคอยาว  ณ บ้านใหม่ในสอย  ศึกษาวิถีธรรมชาติที่ถ้ำปลา  และสัมผัสกลิ่นโคลนสปา ณ ภูโคลน ฯลฯ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้   ล้วนเป็นประสบการณ์อันยากจะลืมเลือน และไม่สามารถจะหาอ่านได้ในบทเรียนใด ๆ ในโลก


เมื่อเราเริ่มทำโครงการในระยะแรก   เราถือกล่องที่ช่วยกันทำขึ้นมาเองตามประสาเด็ก ๆ เดินขอรับบริจาคไปตามท้องถนน  ย่านการค้า  ตลาด  รวมถึงในค่ำคืนที่พลุกพล่านไปด้วยนักท่องเที่ยว  ณ ถนนคนเดิน   บางวันได้มาก   บางคืนได้น้อย   สุดแต่ผู้มีจิตศรัทธาจะร่วมบริจาค คุณค่าของการทำงานมิใช่อยู่ที่จำนวนเงินที่ได้มา แต่อยู่ที่จิตสำนึกและความมุ่งมั่นที่จะทำงานให้สำเร็จอย่างดีที่สุด  อยากได้เงิน  อยากให้ทหารได้อบอุ่น อยากให้พี่น้องที่ด้อยโอกาสได้รับทราบถึงความห่วงใย  และที่สำคัญคือ  อยากทำสิ่งดี ๆ เพื่อให้พ่อหลวงได้ภูมิใจ   วันนี้.....ผ้าห่มและชุดกันหนาวจำนวน 600 ชิ้น ได้เดินทางถึงมือผู้รับเป็นที่เรียบร้อย  โดยความร่วมมือและความช่วยเหลือของทหารหน่วยเฉพาะกิจ กรมทหารราบที่ 7 จ. แม่ฮ่องสอน   พรุ่งนี้และวันต่อ ๆ ไปผ้าห่มและชุดกันหนาวอีก 400 ชิ้น อันเป็นเป้าหมายใหม่ของการรณรงค์ขอรับเงินบริจาคในครั้งต่อไป  ก็จะเดินทางสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน ขอบพระคุณผู้ปกครอง  นักเรียน  คณะอาจารย์  ศูนย์การฝึก นศท. มทบ. 33 จ.เชียงใหม่ และคนไทยทุกท่านที่ช่วยสละทุนทรัพย์เพื่อนำไปซื้อสิ่งของต่าง ๆ เพื่อมอบความอบอุ่นแก่พี่น้องไทยและทหารที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่แนวหน้าอย่างเข้มแข็ง


ท้ายที่สุดนี้ ขออำนาจแห่งคุณงามความดีของพวกท่านทั้งหลาย ตลอดจนอำนาจแห่งความจงรักภักดีต่อองค์พระมหากษัตริย์ ในฐานะพระองค์ท่านทรงเป็นจอมทัพไทยและเป็นดั่งพ่อของแผ่นดิน จงโปรดทรงดลบันดาลพระราชทานพรให้ทุกท่าน  จงประสบแต่ความสุขความเจริญตลอดไป และขอสวัสดีปีใหม่ 2550แด่ทุกท่านมา ณ โอกาสนี้





การโคลนนิ่ง...

     โคลนนิ่ง  เป็นกระบวนการทำให้สัตว์ตัวใหม่ขึ้นมาโดยไม่ต้องอาศัยการรวมตัวกันของไข่และสเปิร์ม  มีวิธีการทำโดยการนำเอาเซลล์ไข่ของสัตว์ที่จะโคลนนิ่งมา  นำเอานิวเคลียสของเซลล์ไข่นั้นออกไป  แล้วนำนิวเคลียสจากเซลล์ของสัตว์ที่ต้องการเรียกว่า "เซลล์ต้นแบบ"  มาถ่ายโอนลงไปในเซลล์ไข่นั้นแทน

               ทั้งเซลล์ไข่และเซลล์ต้นแบบต้องมาจากสัตว์ชนิดเดียวกัน

เซลล์ต้นแบบเป็นเซลล์ที่ได้มาจากสัตว์ที่เราต้องการขยายพันธุ์ให้มากขึ้น เรียกว่า "สัตว์ต้นแบบ"

              ซึ่งเซลล์ต้นแบบนี้อาจจะมาจากอวัยวะส่วนไหนก็ได้  แต่ในทางปฏิบัติเชื่อกันว่าเซลล์จากอวัยวะแต่ละแห่งจะมีความเหมาะสมสำหรับการทำโคลนนิ่งไม่เท่ากัน



               กล่าวคือ การโคลนนิ่งจะให้ลูกหลานได้คราวละมากๆ และลูกหลานเหล่านั้นจะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกันและเหมือนกับตัวต้นแบบ

               ส่วนการขยายพันธุ์แบบอาศัยเพศนั้น  ลูกที่ได้จะมีลักษณะทางพันธุกรรมแตกต่างกันไปและมีความแปรผันแบบกลุ่ม  เราไม่สามารถกำหนดได้เลยว่าลูกที่ได้จากการสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศนั้นจะมีลักษณะอย่างไร

               จากข้อได้เปรียบนี้ทำให้นักวิทยาศาสตร์พยายามที่จะพัฒนากรรมวิธีในการทำโคลนนิ่งสำหรับนำมาใช้กับสิ่งมีชีวิตต่างๆ  เพื่อประโยชน์ของมนุษย์เอง

               ประเทศไทยสามารถทำโคลนนิ่งได้สำเร็จโดยศาสตราจารย์ มณีวรรณ  กมลพัฒนะ  ผู้อำนวยการโครงการนิวเคลียร์เทคโนโลยีเพื่อส่งเสริมกิจกรรมผสมเทียมโคนม และกระบือปลัก  คณะสัตวแพทย์ศาสตร์  จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย  ได้เป็นคนแรก



โดยการนำใช้เทคโนโลยีนิวเคลียร์มาผสมเทียมในกระบือ  และพัฒนาต่อเนื่องมากว่า20 ปี  จนประสบความสำเร็จในการโคลนนิ่งลูกโคตัวแรกของประเทศไทย  ชื่อว่า "อิง"


                 ซึ่งถือว่าเป็นลูกโคโคลนนิ่งตัวแรกของประเทศไทยและเอเซียอาคเนย์ ซึ่งเป็นรายที่ 3  ของเอเซีย  และรายที่ 6  ของโลกโดยการทำโคลนนิ่งต่อจาดญี่ป่น  สหรัฐอเมริกา  ฝรั่งเศส  เยอรมันนี  และเกาหลี

โดยปกติการสืบพันธุ์ของคนหรือสัตว์ต้องอาศัยการผสมกันระหว่างตัวอสุจิกับไข่  ซึ่งเมื่อผสมกันแล้วจะแบ่งตัวเจริญพัฒนาเป็นตัวอ่อน แล้วคลอดออกมาเป็นสัตว์หรือคน ซึ่งจะมีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนพ่อและแม่อย่างละครึ่ง แต่การโคลนนิ่งจะต่างจากการสืบพันธุ์ตามธรรมชาติ เพราะการโคลนนิ่งเป็นกระบวนการการสร้างสิ่งมีชีวิตให้มีลักษณะทางกายภาพและพันธุกรรมเหมือนกันโดยไม่ใช้เซลล์สืบพันธุ์เพศผู้ (อสุจิ)  และเพศเมีย (ไข่) มาผสมกัน แต่จะใช้เซลล์จากสัตว์ที่เราต้องการโคลนนิ่งมาใช้เป็นเซลล์ต้นแบบแทน ทำให้ลูกที่ได้มีลักษณะของเพศและพันธุ์เหมือนกับเซลล์ต้นแบบทุกประการ


ซึ่งขั้นตอนการทำโคลนนิ่งจะขอยกตัวอย่างในโค พอสังเขปดังต่อไปนี้ เริ่มจากการเตรียมเซลล์เพื่อใช้เป็นเซลล์ต้นแบบโดย ทำการคัดเลือกโคพันธุ์ดีที่ให้ผลผลิตนมหรือเนื้อที่ดี แล้วทำการเก็บตัวอย่างใบหู หลังจากนั้นนำชิ้นใบหูที่ได้เก็บไว้ในน้ำยา แล้วนำกลับมาเลี้ยงที่ห้องปฏิบัติ ในน้ำยาเลี้ยงเซลล์และสภาวะที่เหมาะสม หลังจากนั้นประมาณ 1 สัปดาห์ เซลล์ก็จะเจริญออกมาจากชิ้นใบหู (รูปที่1) ซึ่งเซลล์เหล่านี้จะถูกเลี้ยงเพื่อเพิ่มจำนวน และเก็บแช่แข็งไว้ในไนโตรเจนเหลว เพื่อใช้เป็นเซลล์ต้นแบบต่อไป เมื่อต้องการทำโคลนนิ่งเซลล์ที่แช่แข็งไว้จะถูกนำมาละลายและเลี้ยงในสภาวะที่เหมาะสม เมื่อจะนำเซลล์ที่ได้มาใช้ ต้องทำการแยกให้เป็นเซลล์เดี่ยวๆก่อนโดยใช้น้ำย่อย แล้วคัดเลือกเซลล์ที่มีรูปร่างปกติ กลม และมีขนาดไม่เล็กหรือใหญ่เกินไป เพื่อใช้เป็นเซลล์ต้นแบบสำหรับใช้ฉีดเข้าไปในไข่ต่อไป

หลังจากเตรียมเซลล์ต้นแบบแล้ว ลำดับต่อไปก็จะเป็นการเตรียมไข่เพื่อใช้ในการทำโคลนนิ่ง โดยทำการเก็บรังไข่มาจากโรงฆ่าสัตว์ แล้วดูดไข่อ่อนที่อยู่ในถุงไข่ออกมาด้วยเข็มฉีดยา จากนั้นนำไข่ที่ได้มาเลี้ยงในน้ำยาสำหรับเลี้ยงไข่ให้สุกในหลอดแก้วประมาณ 1920 ชั่วโมง เพื่อให้ไข่มีการเจริญต่อจนเป็นไข่แก่ เมื่อได้ไข่แก่แล้วนำมาทำการกำจัดสารพันธุกรรมทิ้งไป ไข่ที่ได้จะเป็นไข่ที่พร้อมสำหรับการโคลนนิ่ง เมื่อไข่แก่ และเซลล์ต้นแบบที่เป็นเซลล์เดี่ยว ๆ แล้วก็จะทำการฉีดเซลล์ต้นแบบ 1 เซลล์เข้าไปในไข่ที่ทำการดูดสารพันธุกรรมออกแล้ว โดยการดูดเซลล์ต้นแบบเข้ามาไว้ในแท่งแก้ว แล้วแทงผ่านผนังไข่เข้าไป จากนั้นฉีดปล่อยเซลล์ต้นแบบให้เข้าไปอยู่ชิดกับไข่มากที่สุด หลังจากฉีดเซลล์ต้นแบบเข้าไปในไข่แล้ว จำเป็นต้องมีการเชื่อมเซลล์ต้นแบบและไข่ให้ติดกันด้วยกระแสไฟฟ้า เพื่อเป็นการหลอมเซลล์ต้นแบบให้เข้ามาอยู่ภายในเซลล์ของไข่ โดยจัดให้เซลล์ต้นแบบอยู่ในแนวเดี่ยวกับแท่งจ่ายกระแสไฟฟ้าทั้ง 2 ด้าน แล้วจ่ายกระแสไฟฟ้าอ่อนๆ เพื่อเชื่อมเซลล์


เมื่อเซลล์ต้นแบบเชื่อมติดกับไข่แล้ว ขั้นตอนต่อไปที่ต้องทำคือการกระตุ้นไข่ให้เกิดการแบ่งตัว โดยการนำไข่ลงไปผ่านสารเคมีที่ใช้ในการกระตุ้น เป็นเวลา 5 นาที แล้วนำไปเลี้ยงต่อ เป็นเวลา 5 ชั่วโมง ในน้ำยาที่มีการควบคุมระดับสารเคมีภายในไข่ให้เหมาะสมสำหรับการแบ่งตัว นำไข่ที่ผ่านการเลี้ยงในน้ำยาที่สามารถควบคุมระดับสารเคมีภายในไข่ให้เหมาะสมแล้ว มาเลี้ยงในน้ำยาเลี้ยงตัวอ่อนในหลอดแก้วภายใต้สภาวะที่เหมาะสมเป็นเวลา 2 วัน จากนั้นทำการคัดเลือก ตัวอ่อนระยะ 8 เซลล์ ไปเลี้ยงต่ออีก 5 วัน โดยเลี้ยงรวมกับเซลล์บุท่อนำไข่ของโค โดยรวมแล้วจะทำการเลี้ยงตัวอ่อนในหลอดแก้วเป็นนาน 7 วัน ซึ่งจะได้ตัวอ่อนระยะที่พร้อมฝังตัวในมดลูก หลังจากนั้นจึงทำการย้ายฝากตัวอ่อนไปยังมดลูกแม่โคตัวรับ

จากนั้นทำการคัดเลือกแม่โคตัวรับที่มีความเหมาะสม โดยคัดเลือกเอาเฉพาะแม่โคที่มีระบบสืบพันธุ์ที่ดี คลอดลูกง่าย มาใช้เป็นแม่โคตัวรับ จากนั้นสังเกตการเป็นสัด เมื่อแม่โคตัวรับเป็นสัดได้ 7 วัน จึงทำการย้ายฝากตัวอ่อนโคลนนิ่งเข้าสู่ปีกมดลูกของแม่โค อาจฝากได้ 12 ตัวอ่อนต่อ 1 แม่โคตัวรับ จากนั้นนับไปอีก 60 วันจึงล้วงตรวจการตั้งท้องของแม่โค อัตราการตั้งท้องของตัวอ่อนโคลนนิ่งในระยะ 2 เดือนแรกจะมีประมาณ 3040% และอัตราการตั้งท้องจนครบกำหนดคลอดมีประมาณ 10%

การโคลนนิ่งเป็นประโยชน์ต่อวงการปศุสัตว์เป็นอย่างมาก ในแง่การปรับปรุงพันธุ์สัตว์ เพราะจะช่วยให้ปรับปรุงพันธุ์ได้เร็วขึ้น สำหรับในแง่การทดลองทางวิทยาศาสตร์ การโคลนนิ่งสามารถช่วยลดจำนวนสัตว์ที่ใช้ในการทดลองให้น้อยลงทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย และช่วยลดความแปรปรวนของผลการทดลอง เนื่องจากสัตว์โคลนนิ่งเป็นสัตว์ที่มีลักษณะทางพันธุกรรมเหมือนกัน ในทางการแพทย์ได้มีการศึกษาอย่างมากในการนำการโคลนนิ่งมาใช้ในการผลิต เซลล์ต้นกำเนิด (Stem cell) สำหรับรักษาโรคในมนุษย์หรือใช้ในการปลูกถ่ายเนื้อเยื่อหรืออวัยวะ เพื่อลดปัญหาเรื่องการต่อต้านอวัยวะใหม่ และมีความพยายามที่จะโคลนนิ่งมนุษย์ทั้งคน แต่อย่างไรก็ตามการกระทำดังกล่าวยังไม่เป็นที่ยอมรับเพราะยังติดปัญหาทางด้านจริยธรรม และยังไม่เป็นที่ยอมรับของนักสังคมศาสตร์ ในแง่มุมของการเสียไปของการพิสูจน์บุคคลหากยอมให้มีการโคลนเกิดขึ้น การโคลนนิ่งมนุษย์จึงยังเป็นสิ่งที่ไม่อาจจะกระทำได้ในปัจจุบัน ดังนั้นในปัจจุบันงานทดลองที่เป็นที่ยอมรับและถูกเผยแพร่จึงเน้นไปในทางการโคลนนิ่งสัตว์เศรษฐกิจ สัตว์ใกล้สูญพันธุ์ และการโคลนนิ่งเพื่อประโยชน์ในการศึกษาทางการแพทย์

การนำไปใช้ประโยชน์
1.เป็นประโยชน์ในแง่การปรับปรุงพันธุ์สัตว์ได้เร็วขึ้น
2.ช่วยลดจำนวนสัตว์ที่ใช้ในการทดลองให้น้อยลงทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย
3.ช่วยลดความแปรปรวนในผลการทดลอง
4.ช่วยผลิตเซลล์ต้นกำเนิดในการรักษาโรคในมนุษย์
5.ใช้ในการปลูกถ่ายเนื้อเยื้อหรืออวัยวะ เพื่อลดปัญหาในการต่อต้านอวัยวะใหม่





มารู้จักกับ...เทคโนโลยีชีวภาพกันเถอะ


         

    เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) เป็นความรู้ หรือ วิชาการที่สามารถนำสิ่งมีชีวิต หรือ ผลผลิตจากสิ่งมีชีวิตมาใช้ หรือ มาปรับเปลี่ยน และประยุกต์ เพื่อใช้ประโยชน์ เรารู้จักการใช้เทคโนโลยีชีวภาพมานานแล้ว การทำน้ำปลา ซีอิ๊ว การหมักอาหาร หมักเหล้า ล้วนเป็นเทคโนโลยีชีวภาพแบบดั้งเดิม เช่นเดียวกับ การปรับปรุงพันธุ์พืช สัตว์ ให้มีผลผลิตมากขึ้น มีคุณภาพดีขึ้น หรือ การนำสมุนไพรมาใช้รักษาโรค บำรุงสุขภาพ ก็จัดว่าเป็นเทคโนโลยีชีวภาพแบบดั้งเดิม

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงเทคโนโลยีชีวภาพ เรามักหมายถึง เทคโนโลยีสมัยใหม่ ที่มีวิทยาศาสตร์หลายสาขาวิชาผสมผสานกันอยู่ ทั้งชีววิทยา เคมี ชีวเคมี ไปจนถึง ฟิสิกส์ และวิศวกรรม ซึ่งอาจเรียกได้ว่า เป็น สหวิทยาการที่นำความรู้พื้นฐานด้านต่างๆ เกี่ยวกับสิ่งมีชีวิต ไปใช้ให้เกิดประโยชน์

จากบทความทางวิชาการประกอบการอภิปราย เรื่อง เทคโนโลยีชีวภาพสำหรับฟาร์มเพาะและเลี้ยงกุ้งกุลาดำ โดย รศ. น.สพ. เกรียงศักดิ์ พูนสุข คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในงานวันกุ้งกุลาดำ ครั้งที่ 11 ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้กล่าวไว้ว่า เทคโนโลยีชีวภาพ หมายถึง การนำหลักการ หรือวิทยาการทางวิทยาศาสตร์ มาประยุกต์ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้มีคุณประโยชน์มากที่สุด จากการแปลความหมายของคำว่า BIO หมายถึง สิ่งมีชีวิต TECHNOLOGY หมายความถึง วิทยาการ หรือวิธีการ อาจสรุปง่ายๆว่า เทคโนโลยีชีวภาพ หมายถึง วิทยาการทางวิทยาศาสตร์ ในการนำเอาสิ่งมีชีวิตมาใช้

ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มของเทคโนโลยีชีวภาพมีมากมาย ได้แก่

1. พันธุวิศวกรรม : เป็นกระบวนการ ที่เจาะจงเลือกหน่วยพันธุกรรม (Gene) บางตัวของสิ่งมีชีวิตชนิดใดชนิดหนึ่ง (ไม่ว่าจะเป็นพืช สัตว์ หรือ จุลินทรีย์) และนำไปใส่ในสิ่งมีชีวิตอีกประเภทหนึ่ง เพื่อทำให้เกิดลักษณะพิเศษที่ต้องการ รวมถึงการตัด และต่อพันธุกรรม เช่น การตัดพันธุกรรมในการสร้างน้ำย่อยของเชื้อ R. oryzae ไปต่อเพิ่มให้กับ R. oryzae อีกตัวหนึ่ง ทำให้ R. oryzae ตัวที่ถูกเพิ่มพันธุกรรม สามารถสร้างน้ำย่อยได้มากขึ้น


2. การผลิตวัคซีน : วัคซีนทุกชนิดนับว่าเป็นผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีชีวภาพเช่นเดียวกัน วัคซีน อาจเตรียมได้จากเซลล์ของตัวก่อโรคทั้งหมด (Whole cells) หรือเตรียมจากเปลือกหุ้มตัวเชื้อ (Capsule) หรือ เตรียมจากส่วนขนละเอียดรอบตัวเชื้อ (Pilli) ก็ได้
3. สารกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรค : ผนังเซลล์ของจุลินทรีย์บางชนิด มีส่วนประกอบของสารในกลุ่ม polysaccharides (เช่น Oligosaccharide และ Peptidoglycan เป็นต้น) สารพวกนี้ มีคุณสมบัติในการเกาะจับจุลินทรีย์ตัวก่อโรค และสามารถกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันโรคได้ดีขึ้น ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ มีตั้งแต่การใช้ตัวเซลล์ (Whole cell), สกัดเพียงบางส่วน เช่น สาร Oligosaccharide จากผนังเซลล์ของยีสต์ แบคทีเรีย Pediococcus spp. และ Lactobacillus บางสายพันธุ์
4. น้ำย่อย หรือ เอ็นไซม์ : น้ำย่อยที่สร้างจากสัตว์แต่ละชนิด มีความสามารถในการย่อยวัตถุดิบอาหารสัตว์ได้แตกต่างกัน เมื่อให้สัตว์กินวัตถุดิบบางชนิดแล้ว สัตว์ไม่สามารถย่อยได้ ทำให้สิ้นเปลืองวัตถุดิบ ดังนั้นเป้าหมายของการใช้วัตถุดิบในปริมาณน้อย แต่ให้เกิดประโยชน์ (ย่อย) ได้ดีที่สุด ปัจจุบันจึงได้มีการผลิตน้ำย่อย ทั้งชนิดจำเพาะ เช่น น้ำย่อยที่ย่อยสารกลูแคน (Glucanase) หรือในรูปของน้ำย่อยรวม (Enzyme cocktail) มาใช้ผสมในอาหารสัตว์ ทำให้สามารถลดปริมาณการใช้วัตถุดิบได้ และสัตว์เจริญเติบโตได้ดี น้ำย่อยที่กล่าวถึงนี้ คือผลิตภัณฑ์ที่ได้จากกระบวนการสันดาป (Metabolic products) ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกระบวนการหมักของจุลินทรีย์
5. วิตามิน : วิตามิน เป็นผลิตภัณฑ์จากกระบวนการสันดาปที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจากการผลิตของจุลินทรีย์ เช่น กากเบียร์ จะมีส่วนประกอบของวิตามิน บี หลายชนิด เป็นต้น
6. โปรตีน และกรดอะมิโน : ตัวเซลล์ของจุลินทรีย์หลายชนิด มีส่วนประกอบของโปรตีน และกรดอะมิโน
7. สารสกัดจากพืช : สารสกัดจากพืชบางชนิด มีคุณสมบัติ เป็นสารทำลายศัตรูพืช หรือ ออกฤทธิ์ทำลายแบคทีเรียบางชนิดได้
8. สารเสริมชีวนะ : หรือ ที่เรียกว่า โปรไบโอติก เป็นผลิตภัณฑ์ทางเทคโนโลยีชีวภาพ ที่อาจกล่าวได้ว่า ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ เป็นที่รู้จักมากที่สุดในวงการการเลี้ยงสัตว์ สารเสริมชีวนะ ประกอบด้วยกลุ่มของจุลินทรีย์ที่มีคุณประโยชน์ ได้แก่ แบคทีเรีย (Bacteria) ยีสต์ (Yeasts) และรา (Fungi) โดยเฉพาะพวกแบคทีเรีย ที่สามารถสร้างกรดแลคติค และกรดไขมันระเหย (Lactic acid and Volatile Fatty acid) ความสำคัญของสารเสริมชีวนะ นอกจากจะสร้างกรด เพื่อยับยั้งการเจริญของจุลินทรีย์ตัวก่อโรคแล้ว ยังมีความสามารถในการเจริญทวีจำนวนได้รวดเร็ว เบียดบัง หรือข่ม และแข่งจุลินทรีย์ที่ก่อโรคได้อีกด้วย และสารเสริมชีวนะนี้ ตัวเซลล์ยังประกอบด้วยสารสำคัญ ในการกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรค พวก polysaccharide และ peptidoglycan อีกด้วย มีผู้อธิบายถึงการที่จุลินทรีย์พวกนี้ สามารถสร้างสารคล้ายปฏิชีวนะ ทำลายจุลินทรีย์อื่น โดยเฉพาะตัวที่ก่อโรคได้เช่นเดียวกัน
9. กลุ่มย่อยสลาย อินทรีย์ และอนินทรีย์สาร : จุลินทรีย์หลายชนิด โดยเฉพาะแบคทีเรีย ทำหน้าที่ในการย่อยสลายของเสียทั้งหมด ให้กลายเป็นโมเลกุลขนาดเล็กมาก จนพืชชั้นสูง และพืชเซลล์เดียว สามารถดูดซับสารอาหารไปใช้ประโยชน์ได้ ปัจจุบันสามารถเพาะเลี้ยงจุลินทรีย์ เพื่อนำมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการย่อยสลาย และควบคุมคุณภาพของน้ำเสียจากฟาร์ม อย่างแพร่หลาย
10. การถนอมอาหาร : การถนอมอาหารโดยใช้จุลินทรีย์ ได้แก่ การหมัก และดองอาหาร เช่น การทำนมเปรี้ยว แหนม ผักดอง เป็นต้น
11. เพิ่มคุณค่าทางอาหาร : เช่น จุลินทรีย์จะสร้างน้ำย่อย เพื่อย่อยน้ำตาลแลคโตสในน้ำนม ให้ได้เป็นน้ำตาลกลูโคส และน้ำตาลกาแลคโตส ซึ่งมนุษย์สามารถนำไปใช้ได้
12. อุตสาหกรรมการผลิต : เช่น การผลิตเหล้าองุ่น เบียร์ แอลกอฮอล์ ที่นำมาใช้เป็นเชื้อเพลิง และใช้ฆ่าเชื้อ เป็นต้น

เทคโนโลยีชีวภาพ ใช้ประโยชน์ได้อย่างไร ?
การขยาย และการปรับปรุงพันธุ์สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย การนำผลผลิตจากสิ่งมีชีวิต ไปแปรรูปเป็นอาหาร หรือยา กระบวนการที่ใช้แปรรูปผลผลิตดังกล่าวในระดับโรงงาน กระบวนการที่ใช้สิ่งมีชีวิต เช่น จุลชีพ ในการบำบัดน้ำเสีย และรักษาสภาพแวดล้อม การนำของเสียจากสิ่งมีชีวิตไปใช้ประโยชน์ เช่น นำไปทำปุ๋ย เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง ได้แก่

1. การตัดต่อยีน (genetic engineering) เทคโนโลยีดีเอ็นเอสายผสม (recombinant DNA) และเทคโนโลยีโมเลกุลเครื่องหมาย (molecular markers)
2. การเพาะเลี้ยงเซลล์ และการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ (cell and tissue culturing) พืช และสัตว์
3. การใช้ประโยชน์จาก จุลินทรีย์บางชนิด หรือใช้ประโยชน์จากเอ็นไซม์ของจุลินทรีย์

เทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร (Agricultural Biotechnology)
เทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร เป็นการพัฒนาการเกษตร ด้านพืช และสัตว์ ด้วยเทคโนโลยีชีวภาพ เช่น
การปรับปรุงพันธุ์พืช และการผลิตพืชพันธุ์ใหม่ (crop improvement) เช่น พืชไร่ พืชผัก ไม้ดอก การผลิตพืชพันธุ์ดีให้ได้ปริมาณมากๆ ในระยะเวลาอันสั้น (micropropagation)
การผสมพันธุ์สัตว์ และการปรับปรุงพันธุ์สัตว์ (breeding and upgrading of livestocks)
การควบคุมศัตรูพืชโดยชีววิธี (biological pest control) และจุลินทรีย์ที่ช่วยรักษาสภาพแวดล้อม
การปรับปรุงขบวนการ การผลิตอาหารให้มีประสิทธิภาพ และมีความปลอดภัยต่อผู้บริโภค
การริเริ่มค้นคว้าหาทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ประโยชน์ (search for utilization of unused resources) และการสร้างทรัพยากรใหม่ เป็นต้น

เทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร ทำให้ผู้ขยายพันธุ์ สามารถสร้างพืช และสัตว์พันธุ์ใหม่ๆ ได้รวดเร็วกว่ากรรมวิธีการขยายพันธุ์แบบดั้งเดิม เป็นเครื่องมือแบบใหม่ ที่ให้โอกาสทางการเกษตร และช่วยกำจัดอุปสรรคที่มีอยู่ ผู้สนับสนุนเทคโนโลยีชีวภาพ เชื่อว่า เทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร น่าจะเป็นประโยชน์ต่อ สุขอนามัยของมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และการพัฒนาทางเศรษฐกิจเทคโนโลยีชีวภาพมีศักยภาพ ที่จะช่วยอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม โดยการลดความจำเป็น ในการทำลายที่อยู่ทางธรรมชาติของพืช และสัตว์ และกรรมวิธีทางการเกษตร ที่สร้างความเสียหาย อาทิ การไถพรวน และ การใช้สารเคมีทางการเกษตร นอกจากนี้ เทคโนโลยีชีวภาพ ยังช่วยให้นักพัฒนาพันธุ์พืช และเกษตรกรได้รับผลกำไรเพิ่มขึ้น เพราะผลผลิตใหม่ๆ จะทำให้เกิดตลาดใหม่ๆ ช่วยลดต้นทุน ช่วยเปิดโอกาสพิเศษทางการเกษตรในการเพิ่มปริมาณ เพิ่มความปลอดภัย น่าเชื่อถือ เพิ่มคุณค่าทางโภชนาการของทรัพยากรอาหารของโลก ช่วยแก้ปัญหาทางสุขภาพที่เกิดจากการเกษตร (การที่เกษตรกรต้องสัมผัสกับสารเคมี) และ ปัญหาที่เกิดกับสิ่งแวดล้อม

เทคโนโลยีชีวภาพ กับการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ
การเลี้ยงกุ้งกุลาดำในปัจจุบันประสบปัญหา และอุปสรรคมากมาย ที่ส่งผลกระทบต่อ การเลี้ยง และผลผลิต ตัวอย่างเช่น เกิดโรคระบาด, ปัญหาสภาพแวดล้อม และมลพิษ, ปัญหาสารเคมี และยาปฏิชีวนะตกค้าง, ปัญหาการปนเปื้อนของเชื้อโรค รวมถึงปัญหาการกีดกันทางการค้า และ เนื่องจากกระแสความต้องการผลิตภัณฑ์อาหารที่มีคุณภาพ ปราศจากการปนเปื้อนจากสารเคมี และยาปฏิชีวนะ ที่เป็นพิษต่อร่างกาย โดยมีกระบวนการผลิตที่ไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ประเทศไทย ซึ่งเป็นประเทศที่มีการผลิตกุ้งกุลาดำเป็นสินค้าส่งออกเป็นอันดับหนึ่งของโลกมานานกว่า 10 ปี อีกทั้งยังเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยีในการผลิตอีกด้วย ต้องดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อพัฒนากระบวนการผลิตกุ้งกุลาดำของไทย ให้มีประสิทธิภาพ และมีคุณภาพ เพื่อสนองต่อความต้องการของผู้บริโภค และตลาดโลกต่อไปในอนาคต

ดังนั้นในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำ จึงจำเป็นต้องปรับปรุงกระบวนการผลิต เข้ามาสู่การผลิตระบบใหม่ คือ การใช้เทคโนโลยีชีวภาพ หรือ “Organic farm” ซึ่งการเลี้ยงกุ้งด้วยระบบชีวภาพนี้ ผู้เลี้ยงต้องคำนึงถึงการจัดการสิ่งแวดล้อมภายในบ่อเป็นสำคัญ เพราะเป็นระบบที่ไม่ต้องการให้ใช้ยา หรือสารเคมีใดๆ ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างการเลี้ยง แก้ไขโดยอาศัยกระบวนการบำบัดตามธรรมชาติ หรือใช้สารสกัดชีวภาพ เพื่อช่วยกระตุ้นการทำงานตามกระบวนการธรรมชาติ ให้เกิดเร็วขึ้นเท่านั้น เทคโนโลยีชีวภาพเกิดขึ้นในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิตกุ้ง ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเทคโนโลยีชีวภาพ สามารถลดปัญหาต่างๆ ในกระบวนการผลิตได้ ดังนี้ ลดปัญหาการใช้สารเคมี, ลดปัญหาสารตกค้าง, ลดปัญหาการเกิดโรคติดเชื้อ, ลดปริมาณการใช้วัตถุดิบอย่างสิ้นเปลือง, ลดปัญหามลพิษ และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม, ลดปัญหาการกีดกันทางการค้า เป็นต้น
และการใช้เทคโนโลยีชีวภาพนี้ ยังเป็นการผลิตกุ้งกุลาดำ ที่มีคุณภาพได้มาตรฐาน เป็นการพัฒนาสู่ระบบการเลี้ยงแบบยั่งยืน อีกด้วย

ผลิตภัณฑ์ชีวภาพ : ผลิตภัณฑ์ทางชีวภาพ ที่ใช้ในการเลี้ยงกุ้ง มีหลายประเภท เช่น
1. ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการควบคุมคุณภาพน้ำ และการบำบัดน้ำ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มจุลินทรีย์
2. ผลิตภัณฑ์ สารเสริมชีวนะ หรือ โปรไบโอติก : เป็นกลุ่มของจุลินทรีย์
3. ผลิตภัณฑ์ สารช่วยย่อย หรือน้ำย่อย : เป็นผลผลิตจากจุลินทรีย์
4. ผลิตภัณฑ์ สารกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันโรค : เป็นผลผลิตจากจุลินทรีย์
5. ผลิตภัณฑ์ สารบำบัด และรักษา : ผลผลิตจากจุลินทรีย์ และสารสกัดจากพืชธรรมชาติ

จะเห็นได้ว่า ผลิตภัณฑ์ชีวภาพที่ใช้ในการเลี้ยงกุ้งกุลาดำส่วนใหญ่เป็นจุลินทรีย์ที่มีความหลากหลายทั้งชนิด และสายพันธุ์ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ หรือสารชีวภาพ ยังมีสารสกัดจากพืชธรรมชาติ หรือที่เรียกว่า สมุนไพรรวมอยู่ด้วย สมุนไพร สามารถนำมาใช้เป็นสารทดแทนยาปฏิชีวนะ (Antibiotics) ได้ เนื่องจากสารสกัดจากสมุนไพรบางชนิด มีคุณสมบัติในการบำบัด และรักษาโรคในกุ้งกุลาดำได้เป็นอย่างดี



วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

การเลือกสีตามวันเกิด ความเชื่อเรื่องสีประจำวัน

สีประจำวันมีที่มาอย่างไร?

วันอาทิตย์
พระอิศวรเอาราชสีห์ 6 ตัวมาป่น แล้วห่อด้วยผ้าสีแดง พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระอาทิตย์ มีกายสีแดง

วันจันทร์
พระอิศวรร่ายพระเวทให้นางฟ้า 15 นางกลายเป็นผงละเอียด แล้วห่อด้วยผ้าสีเหลืองอ่อน พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระจันทร์ มีกายสีเหลืองนวล

วันอังคาร
พระอิศวรร่ายพระเวทให้กระบือ 8 ตัว กลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีแดงหลัว พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระอังคาร มีกายเป็นสีแก้วเพทาย (แดงหลัวชมพู)

วันพุธ
พระอิศวรร่ายพระเวทให้พญาคชสาร 17 ตัวกลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีเขียวใบไม้ พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระพุธ มีกายเป็นสีแก้วมรกต

วันพฤหัสบดี
พระอิศวรร่ายพระเวทให้พระฤาษี 19 ตนกลายเป็นผง แล้วเอาผ้าสีแสดมาห่อ พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระพฤหัสบดี มีกายเป็นสีแสด

วันศุกร์
พระอิศวรร่ายพระเวทให้พระโค 21 ตัวกลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีน้ำเงิน พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระศุกร์ มีสีกายเป็นสีคราม

วันเสาร์
พระอิศวรร่ายพระเวทให้เสือ 10 ตัวกลายเป็นผง แล้วห่อด้วยผ้าสีดำหลัว พรมด้วยน้ำอมฤต บังเกิดเป็นพระเสาร์ มีกายสีดำหลัวหรือม่วง

สีที่ถูกโฉลกตามวันเกิด และสีของเครื่องแต่งกายหรือเสื้อผ้าที่ถูกโฉลกตามวันเกิด
๑. คนเกิดวันอาทิตย์ 
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ ได้แก่ สีเขียวสด สีเขียวแก่ สีขาว สีชมพู
               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันอาทิตย์ ได้แก่ สีฟ้า สีน้ำเงิน

๒. คนเกิดวันจันทร์
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ ได้แก่ สีเขียวสด สีม่วงอ่อน สีม่วง
               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันจันทร์ ได้แก่ สีแดง

๓. คนเกิดวันอังคาร
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร ได้แก่ สีม่วง สีแดง สีแสด
               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันอังคาร ได้แก่ สีเหลือง สีขาว

๔. คนเกิดวันพุธ
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพุธ ได้แก่ สีเขียว สีเหลืองอ่อน สีเหลืองแก่
               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพุธ สีชมพู

๕. คนเกิดวันพฤหัสบดี
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี ได้แก่ สีน้ำเงิน สีฟ้า สีเขียวสด สีแดง
               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันพฤหัสบดี ได้แก่ สีม่วงอ่อน สีม่วงแก่

๖. คนเกิดวันศุกร์
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์ ได้แก่ สีเหลือง สีชมพูอ่อน สีแสด
               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันศุกร์ ได้แก่ สีเขียวแก่

๗. คนเกิดวันเสาร์
               สีที่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์ ได้แก่ สีเขียวจัด สีเขียวเข้ม สีแดง สีเหลือง สีน้ำเงิน สีฟ้า สีชมพู สีน้ำตาล
               สีที่ไม่นิยมนำมาใช้สำหรับผู้ที่เกิดวันเสาร์ ได้แก่ สีเขียวอ่อน สีเขียวสด


อนึ่ง ท่านสุนทรภู่ ได้ผูกเป็นกลอนไว้ในเรื่องสีประจำวัน มีดังนี้


วันอาทิตย์              สิทธิโชค                  โฉลกดี

เอาเครื่องสี                             แดงทรง                  เป็นมงคล

เครื่องวันจันทร์                         นั้นควร                   สีมวลขาว

จะยืนยาว                                ชันษา                    สถาผล

อังคารม่วง                              ช่วงงาม                   สีครามปน

เป็นมงคล                               ขัติยา                     เข้าราวี

เครื่องวันพุธ                           สุดดี                      ด้วยสีแสด

กับเหลือบแปด                        ปนสลับ                  ระยับสี

วันพฤหัส                               จัดเครื่อง                 เขียวเหลืองดี

วันศุกร์สี                               ม่วงหมอก                 ออกสงคราม

วันเสาร์ทรง                           เครื่องดำ                  จึงล้ำเลิศ

แสนประเสริฐ                        เสี้ยนศึก                   ก็นึกขาม

ทั้งพาชี                                ขี่ขับ                        ประดับงาม

ให้ต้องตาม                           สีสัน                        จึงกันภัยฯ